ดร. เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาฯ และคณะกรรมการบริหารสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย)เข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือในหลายประเด็นที่เกี่ยวกับนายจ้าง

เมื่อวันพุธที่ 3 มกราคม 2567 เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพ ฯ ดร. เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาฯ และคณะกรรมการบริหารสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือในหลายประเด็น ซึ่งประเด็นที่นำเสนอ สรุปได้ดังต่อไปนี้

  1. นายจ้างไม่เห็นด้วยที่พรรคการเมืองต่างก็ใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงโดยชูประเด็นขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อหาเสียงเป็นนโยบายชวนเชื่อเพื่อการหาเสียง

เหตุผล ที่ไม่เห็นด้วยนั้น ยังคงมีความเห็นว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำนั้นภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 87 มีองค์ประกอบทางด้านเศรษฐศาสตร์รองรับความเหมาะสมทุกด้านแล้ว ประกอบด้วยคณะกรรมการไตรภาคี 3 ฝ่าย ได้ใช้สิทธิในการพิจารณาครอบคลุมแล้ว ทั้งฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และฝ่ายรัฐ “กระบวนการดังกล่าว ได้ผ่านมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ทุกจังหวัด ผ่านเข้าอนุกรรมการทบทวนแล้ว จึงส่งต่อไตรภาคี ค่าแรงขั้นต่ำ ตามระบบ อย่างถูกต้อง” จึงไม่จำเป็นที่ทางภาครัฐ จะต้องเข้ามาแทรกแซงให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำนี้ ตามกระแสการเมืองแต่อย่างใด

  1. การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง และพิจารณาการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชย

เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องการจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง และการพิจารณาแก้ไขกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าชดเชยนั้น ปัจจุบันนี้นายจ้างต้องรับภาระเกี่ยวกับการจ่ายเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ คือ

  1. กองทุนประกันสังคม
  2. กองทุนเงินทดแทน
  3. กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (กำลังจะมีผลบังคับ)
  4. กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กำลังจะใช้บังคับ)

สำหรับเรื่องค่าชดเชยในประเด็นดังกล่าวนี้ นายจ้างไม่ได้มีนโยบายกำหนดหลักการไว้ เมื่อเกิดการเลิกจ้าง นายจ้างจะจ่ายค่าชดเชยเป็นกรณี ๆ ไป เช่น ในการเกษียณอายุ การสิ้นสุดสภาพการจ้าง ซึ่งต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ในการที่จะกำหนดตั้งเป็นงบประมาณไว้เพื่ออนาคต เพื่อการจ่ายค่าชดเชยของลูกจ้างทั้งหมดล่วงหน้านั้น เป็นการสร้างนโยบายโดยกฏหมายที่ไม่จำเป็นและยังไม่เคยมี แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้ว ยังไม่นำมาใช้เป็นนโยบายกันเลย อนึ่งหากภาครัฐจะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง จะเป็นการสร้างภาระให้แก่นายจ้าง อีกทั้งยังไม่เอื้อให้นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศมาเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยด้วย

  1. เสนอให้ภาครัฐได้หารือกับกรมสรรพากร เรื่อง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ Upskill-Reskill ให้แก่พนักงานเพื่อการพัฒนาทักษะเรียนรู้เสริมทักษะใหม่ๆ ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในสายงานมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานโลกนายจ้างเห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนี้ ควรจะให้นายจ้างสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เป็น 2 เท่า

เหตุผล ในเรื่องการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ หรือเสริมทักษะใหม่ ๆ ให้เกิดความเชี่ยวชาญในสายงานมากขึ้น เพื่อรองรับเทคโนโลยี่ใหม่ ๆ ในการประกอบกิจการนั้น เป็นหน้าที่ของนายจ้างต้องจัดทำเป็นนโยบายอยู่แล้ว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับการปรับค่าจ้างประจำปี และค่าจ้างขั้นต่ำในทุกปี การดำเนินการ Upskill Reskill ให้แก่พนักงาน ในการพัฒนาทักษะเรียนรู้เทคโนโลยี่ใหม่ ๆ นั้น จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นใหม่อีกในเรื่องนี้เห็นสมควรอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องส่งเสริมให้นายจ้างได้นำเอาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไปหักลดหย่อนภาษีได้สองเท่า “และหรือเรียกคืนได้ 50 % ของเงินค่าใช้จ่าย ที่นายจ้างได้ใช้ไป ทั้งสิ้นในช่วงการ Upskill Reskill เพื่อเป็นการลดภาระนายจ้าง และสามารถพัฒนาความสามารถของแรงงานให้รวดเร็วขึ้นเพิ่มทักษะการใช้เทคโนโลยี่ของเครื่องจักรใหม่ๆได้ และวิถีการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถเพิ่ม productivity ได้ ผู้ประกอบการสามารถปรับค่าแรงตาม skill ที่เพิ่มขึ้น กับผลงานที่ออกมา เพื่อปรับค่าแรงตาม performance

  1. เรื่อง เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของประกันสังคม ขอให้พิจารณาในเรื่องของการนำเอาเงินชราภาพออกมาใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพได้ ในระหว่างที่ยังเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อยู่ และให้หมายรวมถึงผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้สามารถนำเอาสิทธิประโยชน์ เงินชราภาพเดิม ที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ออกมาใช้เพื่อประโยชน์ในการครองชีพได้ ในระหว่างที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ด้วย

เหตุผล คือ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 แล้วนั้น มีสิทธิประกอบด้วย 7 สิทธิประโยชน์ และสิทธิประโยชน์ประเภทที่ 6 คือ สิทธิชราภาพซึ่งผู้ประกันตนนี้จะได้รับสิทธินำมาใช้ได้ ต้องเป็นผู้ที่ส่งเงินสมทบมาแล้วครบ 180 เดือน มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และพ้นจากสภาพการเป็นผู้ประกันตนแล้ว จะใช้สิทธิชราภาพนั้น มีผู้ประกันตนส่วนมากมีความเห็นว่าสิทธิชราภาพนั้น ผู้ประกันตนอาจไม่มีโอกาสได้ ใช้เลยก็ได้ จึงควรให้ผู้ประกันตนที่อาจจะไม่มีโอกาสได้นำเงินชราภาพมาใช้ ได้นำเงินชราภาพบางส่วนมาใช้ก่อน ในขณะที่ยังเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้ นอกจากนั้นยังให้หมายรวมถึง ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้เคยเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 มาก่อนแล้ว ซึ่งปกติแล้วต้องหยุดรับเงินชราภาพ ตามมาตรา 33 ให้สามารถขอรับสิทธินำเงินชราภาพ ตามมาตรา 33 ออกมาใช้ในการดำรงชีพได้ในขณะที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้อีกด้วย